Kamalas

เรื่องเล่าจากพระป่า ตอน  ถ้ำบาดาลใต้แม่น้ำโขง

เรียบเรียงโดย กัณหา ชาลี

 

ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๐  ป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก เป็นป่ารกชัฏต้นไม้ใหญ่น้อยประดับประดาป่าให้เขียวขจีสวยงาม  สัตว์ป่ามากมายออกท่องเที่ยวหากินท่ามกลางเครื่องประดับมีชีวิตเขียวขจีนี้  จะว่าไปแล้วต้นไม้ใหญ่ก็เปรียบเสมือนสาวงามของผู้ชอบใจ และหลงใหลในธรรมชาติอันบริสุทธิ์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุผู้ชอบแสวงหาความสงบสงัด  แสวงหาดินแดนที่สัปปายะเหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม

เมื่อพระหนุ่มเดินธุดงค์ลัดเลาะป่าเขา จนไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็มองหาพื้นที่อันเหมาะแก่การปักกลดเพื่อที่จะเจริญสมณธรรม นำไปสู่การขัดเกลาจิตใจของตนเองให้เบาบางลง  จากความโลภ ความโกรธ ความหลง ตลอดทั้งการละจากนิวรณธรรมอันมี กามฉันทะนิวรณ์  ซึ่งบางครั้งเวลานั่งอยู่เงียบ ๆ เพียงคนเดียว  จิตก็มีความรู้สึกอุตริไปกับกามคุณได้ และเมื่อขาดสติจะทำให้เกิดการปรุงแต่งเพิ่มขึ้นด้วย บางทีจิตมันนึกถึงคนรักเก่าที่เคยอยู่ด้วยกันครั้นก่อนมา  ทำให้จิตตกอยู่ กามฉันทนิวรณ์  ถ้าเกิดอารมณ์อย่างนี้จะต้องแก้ด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน คือ ระลึกถึงซากศพ สิ่งสกปรก เน่าเหม็นของรูปนั้น ๆ หรือคนนั้น ๆ แต่ถ้าเผลอสติจิตก็จะปรุงแต่งไปในพยาบาท  ความไม่พอใจในอารมณ์ที่เป็นเรื่องอดีตและอนาคต  จนต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน   พอมีสติรู้สึกตัวทันก็พิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นให้ตลอดอย่างต่อเนื่อง  ก็จะทำให้อารมณ์เบาบางลง พระพุทธองค์ให้ตั้งสติเจริญเมตตา  เพื่อต่อสู่กับจิตที่คิดจะทำร้าย ให้มีเมตตาต่อกันกับเพื่อนมนุษย์  แต่ถ้าสติอ่อนก็ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ไว้ได้  เพียงแต่รอเวลาที่จิตมันวางแผนเอาไว้   ถ้ารอเวลาสักพักหนึ่ง  อารมณ์เหล่านี้ก็จะอ่อนลงเองจนได้สติ  ความรู้สึกทางกายผ่อนคลายลง  การกระตุ้นความรู้สึกก็อ่อนกำลังลงจนกลายเป็น ถีนมิทธนิวรณ์  ความอ่อนเพลียจนหลับ หรือง่วงเหงาหาวนอนสะลึมสะลือ ไม่สามารถที่จะประคองตัวเองได้  ถ้าทำสมาธิก็ไม่มีสติ  ถ้าขับรถก็หลับใน อันตรายถึงชีวิตเช่นกัน และอุทธัจจกุกกุจนิวรณ์  จิตขาดการพิจารณา หรือจิต หลับ ๆ ตื่น ๆ งง ๆ ง่วง ๆไม่รู้อะไรเป็นอะไร ไม่รู้ในเหตุในผล ไม่สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตตนเอง จึงเรียกกันว่า จิตฟุ่งซ่าน  เหมือนอารมณ์คนบ้า หงุดหงิด จิตวุ่นว่ายอยู่ตลอดเวลา เกิดความหวาดระแวงคนโน้นคนนี้ จนไม่มีความสุขในชีวิต  จึงทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตัวเอง สงสัยเรื่องต่าง ๆ ไม่มีความจริงใจกับใคร ๆ เพราะจิตหาข้อยุติให้ตัวเองไม่ได้  มัวแต่สงสัยเพราะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ก็เกิดความลังเลสงสัยไปทุกเรื่องทั้งเรื่องของตนเอง และบุคคลที่อยู่รอบข้าง จิตจึงหาวิธีป้องกันตัวเอง โดยการสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง  แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่  เพราะความลังเลสงสัยนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้จิตมองสิ่งต่าง ๆ อย่างสงสัย พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า  วิจิกิจฉานิวรณ์ สงสัยในคุณงามความดี  ในบุญคุณของพ่อแม่ บุญบาปว่ามีจริงหรือไม่  จึงหลงทำผิด ๆ จึงต้องเจริญปัญญา ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงตามสัจธรรม
เมื่อภิกษุหนุ่มปักกลดเรียบร้อยแล้ว  ก็เจริญเมตตาภาวนาจนเข้าสมาธิไปนานทั้งคืน ในขณะที่ทำสมาธิอยู่นั้น ปรากฏเกิดนิมิตขึ้นในจิตของท่าน  เป็นภาพนิมิตเห็นตัวท่านเองเดินลงไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปข้างหน้าประมาณ ๑๕ – ๒๐ เมตร พระหนุ่มเดินลงไปในถ้ำลึก ถ้ำนี้ก็ดูแปลกตาเป็นอัศจรรย์ แม้ทางเข้าถ้ำจะไม่ใหญ่โตนัก ซึ่งตอนแรกที่ปักกลด พระหนุ่มมิได้เห็นถ้ำเลยแม้แต่น้อย  ครั้นเดินลงไปในถ้ำ ภายในมีช่องน้อยใหญ่นำไปสู่ทิศต่าง ๆ พระหนุ่มได้แต่แปลกในว่า ช่องเหล่านี้จะนำท่านไปสู่ที่ใด นอกจากนี้ยังมีเสาหินอีกประมาณ ๔๐ – ๕๐ ต้น ในห้องกลางนั้น  และมีห้องเชื่อมต่อเนื่องกันไป  พระหนุ่มเกิดรู้ด้วยจิตขึ้นมาว่า ทางเดินภายในถ้ำนี้จะพาไปได้ไกลจนมุดลอดใต้แม่น้ำโขงเลยทีเดียวนับว่าเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก  เดินเข้าไปสักหน่อย พระหนุ่มก็เห็นโรงศพ วางอยู่ในห้องนั้นสองโรง  ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฎมีชายท่านหนึ่งโผล่ออกมาจากไหนมิทราบ ทำตนเป็นเจ้าหน้าที่ภายในถ้ำ  ตอบข้อสงสัยของพระหนุ่มโดยพูดบอกว่า  โรงศพนี้บรรจุศพของพระเจ้าศรีมงคล    และศพของพระนางศรีนาคี ซึ่งเป็นพระสหายกับพระเจ้าศรีสุทโท พญานาคผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองบาดาล  เมืองพญานาคแห่งคำชะโนดนั่นเอง    ผู้นำทางชี้บอกพระหนุ่มว่า แต่ละทางที่แยกออกไป สามารถนำไปสู่ที่ไหนได้บ้าง  พร้อมกับพาเดินไปเรื่อย ๆ   ระหว่างทางนั้นก็พบผู้คนอยู่ข้างทาง และคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า  “เอาคนนอกมาทำไม”   ผู้นำทางก็ตอบว่า ท่านไม่ใช่คนนอกท่านเป็นคนช่วยสร้างที่นี้ให้เราอยู่  ท่านไปช่วยญาติไปเยี่ยมญาติพึ่งกลับมา  ในนิมิตนั้นภิกษุหนุ่มเห็นคน  เป็นครึ่งคนครึ่งพญานาค  บางทีหัวเป็นคน ตัวเป็นพญานาค  บางทีหัวเป็นพญานาคตัวเป็นคน ราวกับในนิยาย หรือตำนานที่เคยได้ยินมาก็มิปาน แต่พินิจดูแล้วมีร่างกายที่เป็นสีทองสะอาด พระภิกษุจึงถามคนนำทางว่า  “ท่านเหล่านี้อายุเท่าไร”

เขาตอบว่า  “ท่านนี้ ๑,๐๐๐  ปี ท่านนี้ ๕๐๐ ปี บางท่านในนั้นมีอายุ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว บำเพ็ญเพียรรอพระอรหันต์ที่ได้อภิญญาสมาบัติ ๘ มาโปรด”   นี่คือคำตอบของผู้นำทาง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก  มัคคุเทศก์ไม่ได้รับเชิญยังชี้ทางต่อไปว่า

“…ดูที่นี่

  • ทางนี้ สามารถเดินทะลุไปยังฝังประเทศลาวถึงภูเขาควายเป็นปากถ้ำใหญ่
  • อีกทางหนึ่งไปที่ทางน้ำตกหลีผี น้ำตกคอนพระเพ็ง  ซึ่งพระภิกษุหนุ่มไม่เคยรู้จักมาก่อนในตอนนั้น
  • อีกช่องทางหนึ่งมาที่พระธาตุพนม ที่เจดีย์พระธาตุพนม
  • อีกช่องทางหนึ่งไปทางเจดีย์พระธาตุศรีสองรัก
  • อีกทางหนึ่งมาที่วัดหินหมากเป้ง  ซึ่งเป็นทางไปฟังธรรมกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  …”

นั่นหมายความว่า ถ้ำแห่งนี้มีความลึก หรือระยะทางอันไกลโพ้นทีเดียวที่สามารถเชื่อมดินแดนต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ได้  แล้วทั้งสองก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเห็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง พื้นสะอาดเรียบร้อย  มีสระบัวอยู่ในถ้ำนั้นด้วย  ความกว้างของสระก็ประมาณ ๕ เมตร และมีดอกบัวอยู่ในสระนั้นประมาณ ๙ ดอก ทั้งบานและตูม  ถัดไปจากสระบัวประมาณ ๓ เมตร มีแท่นวางอยู่ ในขณะนั้นพระภิกษุหนุ่มก็ได้เดินออกมาจากห้องนั้น ด้วยการเดินออกทางข้างบนหลังถ้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่พระหนุ่มออกจากสมาธิพอดี  เมื่อลืมตาขึ้นมาปรากฎว่า อรุณรุ่งเช้าวันใหม่แล้ว น่าจะสักประมาณตี ๕ กว่า ๆ  จึงรำพึงนึกอยู่ในใจว่า นี่เรานั่งสมาธิจนเช้าเลยหรือนี่ แล้วในนิมิตนั้น คือเรื่องจริงหรือไม่ มันคือเมืองบาดาล เมืองพญานาคใช่ไหม แล้วทำไมผู้นำทางแปลกหน้า จึงพูดจาเสมือนรู้จักเรามาก่อน ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่เคยรู้จักพวกเขาเลย

ณ ขอบฟ้ายามรุ่งอรุณ เริ่มมีแสงทองฉาบฉาย เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นชีวิตในวันใหม่ หมู่นกกาก็เริ่มโบยบินออกหาอาหารประทังชีวิตเช่นเคย  เมื่อพระหนุ่มออกจากสมาธิแล้ว ก็แผ่เมตตา อุทิศบุญให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้าที่เจ้าทาง แม่นางธรณี และพญานาคที่มาให้เห็นในนิมิตเมื่อคืนด้วย  พระภิกษุหนุ่มก็เดินไปรอบ ๆ สถานที่นั้น แม้จะสงสัยกับเรื่องราวในนิมิตในราตรีที่ผ่านมา  แต่ก็พระหนุ่มก็ไม่ลืมจะส่งกระแสจิตแห่งความเมตตา ลงไปให้ตามทิศที่ตนได้เดินลงไปนั้นด้วย…