Kamalas

เรื่องเล่าพระป่า

เรียบเรียงโดย กัณหาชาลี

 

 

ตอน ความอัศจรรย์ของภูทอก ตอนที่ ๓

 

 

 

 

ความเดิมตอนที่แล้วเมื่อผู้เฒ่าชีประขาวมาไต่ถามพระภิกษุหนุ่มแปลกหน้าว่ามาทำอะไรที่นี่ เมื่อพระหนุ่มตอบไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านยังคงปักกลดต่อจนเสร็จ แล้วจึงออกเดินจงกรมด้วยอาการอันสำรวม ขณะที่เดินจงกรมนั้น ด้วยจิตอันนิ่งสงบพระภิกษุหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีคนคอยแอบมองอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่เห็นใครคนนั้นก็ตาม  เมื่อเดินจงกรมได้ประมาณสองชั่วโมง พระหนุ่มก็เข้ากลด นั่งสมาธิภาวนาต่อ เพื่อไม่ให้อารมณ์สมาธิขาดช่วง  ในขณะนั้น พระภิกษุหนุ่มได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า…  เอ้ย… รู้จักเดินจงกรมนั่งสมาธิ อย่างนี้ก็ปฏิบัติเป็น เป็นพระธุดงค์ได้ เขาปักกลดก็ยังระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างนี้ก็ดีหน่อย เป็นพระยังรู้จักอ่อนน้อม ต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ  เห็นหน้าหนุ่มเด็ก ๆ คิดว่าจะลืมผู้มีพระคุณ ไม่เหมือนเมื่อห้าวันที่ผ่านมาที่ต้องให้เราเดือดร้อน ต้องขับไล่ไปอีกรูป  ไม่ใช่มาหาสมบัติ มาหาหวยหาเบอร์อีกนะ”

เมื่อได้ยินเสียงประหลาดนั้นลอยมาตามลมกระทบโสตประสาทหูพระภิกษุหนุ่มก็ไม่สนใจ จึงนั่งภาวนาต่อจนรุ่งสาง  ประมาณตีห้าครึ่งจึงสวดมนต์แผ่เมตตา แล้วออกมาเดินจงกรม จนแสงอาทิตย์แตะขอบฟ้าเป็นสีทองประกาย ครั้นประมาณ ๗ โมงเช้า ท่านจึงออกบิณฑบาต ซึ่งเป็นวัตรที่พระสงฆ์ต้องทำเป็นปกติ ระยะทางออกบิณฑบาตประมาณ ๒ กิโลเมตรกว่า ๆ จึงถึงหมู่บ้าน  ที่นี่มีบ้านอยู่ประมาณ ๒๐ กว่าหลัง  ขณะที่พระหนุ่มกำลังเดินบิณฑบาตอยู่นั้น ท่านก็ได้ยินเสียงโยมร้องไห้เสียงดังออกมานอกบ้านหลายต่อหลายคน เสียงคนเหล่านั้นบอกถึงความวุ่นวายและมีปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นแน่นอน

เสียงโยมผู้ชายผู้หญิงพูดต่อกันว่า.. อย่าทำลูกหลานเลยพ่อปู่ อยากได้อะไรก็ให้บอกลูกหลานจะหามาให้” 

ไม่ทันไรก็มีโยมคนหนึ่งพูดขึ้นเป็นภาษาอีสานว่า… พระธุดงค์ ๆ เพิ่นมาบิณฑบาต นินมต์เพิ่นมาซอยทะแม้  เพิ่นต้องมีวิชาอาคมละเพิ่นยังกล้าเดินธุดงค์

โยมผู้ชายแก่คนหนึ่งจึงเดินถือขันดอกไม้เข้ามาหาพร้อมกับพูดขึ้นว่า… นิมนต์พระอาจารย์ไปซอยโปรดโยมแนะคะน้อย คนถูกผีเข้าตะมื้อคืนแล้ว บ่ออกสงสารมันหลาย คะน้อยกะซอยบ่ใด  นิมนต์เข้าไปบ้านแนะคะน้อย

พระภิกษุหนุ่มก็พูดขึ้นว่า… อาตมาเว้ากับผีบ่เป็นหรอกโยม

โยมก็พูดขึ้นอีกว่า… โอ๊ย… ซอยแนะคะน้อย มีมนต์ยังก็ซอยแนะถอ  มีโยมอีกสี่ห้าคนตามมาอีกบอกนิมนต์แนะๆ  คะน้อย ขอร้องหลายแนะซอยแนะ

พระภิกษุหนุ่มถูกคะยั้นคะยอมากเข้า จึงตอบกลับไปว่า… เมื่อโยมนิมนต์ขอร้องให้ช่วยอาตมาก็จะช่วย  แต่อาตมาช่วยไม่เป็น ไม่มีคาถาไร่ผีนะโยม” 

โยมจึงเดินนำหน้าพระหนุ่ม พาไปที่บ้านที่มีคนถูกผีเข้า เมื่อพระหนุ่มก้าวขึ้นบันไดบ้านไป  ท่านจึงพูดขึ้นว่า… โยมเอาคนออกมานอกบ้านได้ไหมโยม  อาตมาสมาทานธุดงค์อยู่ว่า จะไม่เข้าที่มุ่งที่บังอันเดียวกับโยม” โยมเจ้าของบ้านก็เข้าใจทันที เหมือนว่าเขาจะเคยเป็นนักบวชมาก่อน จึงรีบช่วยกันจับผู้หญิงที่ถูกผีเข้า หามกันออกมานอกบ้าน อาตมาก็ไม่รู้จะทำแบบไหนโยม คาถาสักตัวก็ไม่เคยเรียนมา ก็ตัดสินใจพูดกับวิญญาณที่อยู่ในร่างโยมผู้หญิงวัย ๔๐ กว่าว่า… โยมมาทำอะไรที่นี่ ทำไมโยมมาสร้างบาปให้ตัวเอง ตัวเองทุกข์ทรมานแล้วยังจะมาทำให้คนอื่นทุกข์ทรมานด้วย ทำอย่านี้เป็นบาปอย่างมหันต์นะ เดี๋ยวยมบาลจับได้จะถูกลงโทษหนักหนาสาหัสห้าร้อยชาตินะ ให้รีบออกจากร่างเขาเสีย ถ้าไม่ออกเดี๋ยวอาตมาจะให้ยมบาลจับไปลงโทษเดี๋ยวนี้ทั้งครอบครัวนะ

วิญญาณที่อยู่ในร่างคนร้องว่า… ยอมแล้ว จะออกแล้ว…” ร้องไห้ดังลั่น

โยมที่มุงดูกันอยู่ก็ถาม… มึงมาจากไหน  ให้กลับที่เดิม”

วิญญาณที่อยู่ในร่างก็ตอบว่า… กลับไม่ได้เขาจะฆ่า  ยอมแล้ว”  

พระภิกษุหนุ่มก็งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็มีสติทำหน้าที่ต่อพร้อมกับพูดขึ้นว่า… ดีแล้วถ้ารู้ว่าทำผิดแล้ว อย่าทำอีกมันเป็นบาป  ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์กันทั้งหมู่บ้าน ถ้าไม่อยากทุกข์ทรมานต่อไป ต้องรักษาศีลนะ พระหนุ่มก็กำชับว่า… ต่อไปนี้ถ้าอยากอยู่บ้านนี้อีกต่อไป จะต้องรักษาศีลไม่ทำร้ายไปเข้าใครอีกนะ วิญญาณที่อยู่ในร่างก็ยอมรับทุกอย่างอย่างสดุดี ประหนึ่งว่าเป็นเด็กน้อยผู้ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาประเดี๋ยวนั้น พระภิกษุหนุ่มจึงนำกล่าวสมาทานเข้าถึงไตรสรณคมน์ และสมาทานศีลห้า ครั้นจบลง…วิญญาณที่อยู่ในร่างหญิงโชคร้ายก็ออกไป โยมผู้หญิงคนนั้นที่นั่งอยู่ก็ก้มหน้าลงกับพื้นดิน

สักพักหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาแล้วถามเพื่อนบ้านว่า… ข่อยเป็นหยัง  พวกเจ้ามายังหลายแท้ พอเห็นพระภิกษุนั่งอยู่ก็คลานเข้ามากราบ

ผู้ฒ่าก็บอกว่า… กราบเพิ่นซะ  เพิ่นเอาผีออกให้มึง  โยมประมาณ ๓๐ คน อยู่ในเหตุการณ์นั้นกราบกันทุกคน

มีโยมคนหนึ่งพูดขึ้นว่า… ให้เพิ่นเสกสายสินญ์ให้แนะ เอาไว้กั้นปอป กั้นผีแนะมันแห่งหลายบ้านเฮาเดียวนี้  เท่านั้นแหละทุกคนก็วีงไปหาฝ้าย ผูกแขนเอามาให้เสกให้เต็มตระกร้าเลย

พระภิกษุหนุ่มก็กลายเป็นผู้วิเศษในทันที เพียงวันเดียว เรื่องพระธุดงค์ปราบผีก็ดังไปไกลหลายบ้าน  และเช้าวันนั้นก็มีญาติโยมหลายต่อหลายคน ตามขึ้นไปยังที่ปักกลด ทั้งคนแก่แม่เฒ่า พ่อเฒ่า พาลูกเล็กเด็กแดงไปหาภิกษุหนุ่มผู้วิเศษ  พอตกค่ำคืนชาวบ้านก็ขึ้นไปหาพระภิกษุหนุ่มอีกชุดหนึ่ง  ไปขอนอนด้วยเพื่อตอนเช้าจะได้ขอหวยขอเลข พระภิกษุหนุ่มก็ทำหน้าที่โดยปกติเหมือนทุกครั้งที่เคยปฏิบัติมา เวลาเที่ยงคืนทุกคนก็นอนหลับสนิทพระภิกษุหนุ่มก็เดินจงกรมได้ประมาณ ๒ ชม. เป็นปกติ  พอจะเข้าในกลดก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า… เมื่อเช้านี้พระคุณเจ้าได้โปรดญาติโยมบ้านน้อย แล้วยังให้พวกเขาได้สมาทานศีลด้วย นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลมากนะพระคุณเจ้า พระภิกษุหนุ่มก็มองตามเสียงไป ก็ไม่พบเจ้าของเสียงที่มา … ไร้เสียงทั้งมาและเสียงไป  ภิกษุหนุ่มจึงไม่โต้ตอบแต่ประการใด

แต่แล้วผู้เฒ่าตาปะขาวก็ปรากฎกายขึ้น แล้วพูดต่อว่า… โยมตั้งใจมาขอบคุณแทนลูกหลานของโยมที่ท่านช่วยเหลือ และให้เขาได้มีศีลได้ฟังธรรม โยมก็ขอนิมนต์พระคุณเจ้าอยู่ที่นี่นานหน่อย จะได้โปรดลูกหลานของโยม พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดบอกโยมได้นะ  ผู้เฒ่าที่สวมใส่ชุดขาวก็หายไปอย่างรวดเร็ว

พระภิกษุหนุ่มจึงเข้าไปนั่งภาวนาอยู่ในกลดอย่างสงบ  อากาศก็สบายดีสัปปายะ แต่ที่จะไม่สัปปายะก็คงจะเป็นโยมชาวบ้านที่มานอนรอเฝ้าเอาหวยนี้แหละ ความทุกข์ความกังวลก็ปรากฏเกิดขึ้นที่ใจพระภิกษุหนุ่ม เรื่องหวย เมื่อเช้าช่วงบิณฑบาตพูดกับวิญญาณก็ทุกข์พอแล้ว มาเย็นนี้ก็มาทุกข์กับชาวบ้านที่มารอขอหวย จะเลยเถิดไปกันใหญ่ ท่านไม่ต้องการเป็นนักใบ้หวยหรือผู้วิเศษใดๆ การมาธุดงควัตรนี้เป็นไปเพื่อการแสวงหาโมกขธรรม เพื่อการดับทุกข์มิใช่ชื่อเสียงเกียรติยศ  เห็นทีจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้เสียแล้ว พรุ่งนี้ต้องจากไปแล้วเพื่อไม่ให้เกิดความผูกพัน พอรุ่งเช้าพระภิกษุหนุ่มก็เก็บอัฐบริขารที่เดินธุดงค์พร้อมย่ามและกลด ออกบิณฑบาตรแล้วไปหาที่ฉันข้างหน้า ระหว่างทางที่จะเดินต่อไปอีกที่หนึ่ง  ซึ่งญาติโยมที่ไปนอนรอเฝ้าเอาหวยก็ไม่รู้จนทุกวันนี้ว่าพระคุณเจ้าหายไปไหนอย่างไร้ร่องรอย…