Kamalas

เรื่องเล่าพระป่า  ตอน ภูลังกา  ความสะพรึงในความงาม ๒

เรียบเรียงโดย กัณหา ชาลี

หลังจากปักกลดเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุหนุ่มก็เคร่งครัดทำกิจของสงฆ์ต่อไป ท่ามกลางความมืดมิดของป่าภูลังกา จะมีเพียงแสงสว่างบนฟากฟ้าของดวงจันทร์เท่านั้น ที่พอจะทำให้มองเห็นทางที่ถูกจัดไว้โดยธรรมชาติ ให้พระธุดงค์หนุ่มรูปนี้ได้เดินจงกรมและปฎิบัติกิจของสงฆ์ แต่ค่ำคืนนี้ช่างวังเวงและเย็นยะเยือกผิดปกติเสียนี่กระไร

เวลาประมาณตีหนึ่งขณะที่พระภิกษุหนุ่มกำลังนั่งอยู่ในกลด ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเหลือบไปเห็นแม่ลูกคู่หนึ่ง เดินจูงมือกันร้องไห้พร้อมรำพึงรำพันว่า “ไปลูกไป ใกล้จะถึงแล้ว เราไปกระโดดเหวตายกันดีกว่า ไม่มีใครเห็นความดีของเราเลย” ร่ำร้องได้เพียงสักพัก แม่ลูกก็กลายร่างจากคนเป็นเสือแม่ลูกอ่อน ตัวสูงใหญ่ยาวประมาณสองวาครี่ง แล้วเดินไปทางหน้าผา ไม่ทันที่พระหนุ่มจะละสายตา เสือแม่ลูกก็กระโดดลงหน้าผาไปพร้อมกับความมืด  และไม่ปรากฏหญิงแม่ลูกอ่อนอยู่บริเวณโดยรอบนั้นอีกเลย

พระภิกษุหนุ่มได้แต่เก็บความตกใจไว้ด้วยสติที่ฝึกมาอย่างดี และได้แต่อุเบกขาต่อการสังเวยชีวิตของเสือสองแม่ลูกอ่อน  หลังจากนั้นสองชั่วโมงพระภิกษุหนุ่มกำลังจะออกจากกลดมาเดินจงกรมด้านนอก ครั้นพอเปิดกลดได้เพียงนิดเดียว สายตาก็ไปสะดุดกับเสือลายพาดกรตัวใหญ่ ยืนถมึงตึงอยู่ด้านนอก ดังว่ารอพร้อมจะตะครุบเหยื่อ พระภิกษุต้องปิดกลดลงทันที  แล้วมานั่งสำรวมสมาธิแผ่เมตตาให้เจ้าเขาภูลังกาอีกตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้าท่านได้ยินเสียงนกการ้องกันอยู่ภายนอกทักทายเชื้อเชิญ หรือบ่งบอกว่าเป็นรุ่งอรุณของวันใหม่แล้ว ทุกชีวิตจะได้ทำภาระกิจแห่งการหายใจต่อไป

 

ภายใต้เงาต้นไม้ใหญ่น้อยที่เป็นป่ารกชัฎ แสงอาทิตย์สาดส่องทะลุทิวไม้ลงมาเป็นการตอกย้ำเสียงร้องนกกาว่าทำหน้าที่ได้ถูกต้องแล้ว พระภิกษุหนุ่มจึงก็ค่อย ๆ ออกจากกลด เพื่อเตรียมทำกิจออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์  ระหว่างเตรียมตัวอยู่นั้นภาพเสือแม่ลูก และเสือใหญ่ที่ไม่ได้รับเชิญก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเรื่องราวที่แท้จริงคืออะไร  แต่แล้วพระภิกษุหนุ่มก็สลัดความคิดนั้นออกจากหัว แล้วก็กำหนดจิตอยู่ที่ปัจจุบันขณะ  แต่ภาพเสือลึกลับหายไปจากห้วงความคิดไม่ได้นานเท่าไร  ขณะที่ท่านกำลังเดินออกไปบิณฑบาตนั้น ก็ได้พบงูใหญ่กำลังใช้เขี้ยวกัดกวางอย่างหนักหน่วงเพื่อจะกินเป็นอาหาร  แต่ครั้นเมื่อสังเกตดูท้องของงูใหญ่เหมือนเพิ่งมีอาหารอยู่ในท้อง เพราะท้องป่องอย่างเห็นได้ชัดเจน  ท่านจึงแผ่เมตตาให้ สัพเพสัพตา… ว่าสัตว์ทั้งหลายอย่าเบียดเบียนกันเลย แล้วก็เดินผ่านไปด้วยอาการอุเบกขา เพราะสังเกตเห็นว่ากวางนั้นตายแล้ว  ท่านจึงออกบิณฑบาตต่อไปพลางคิดรำพึงกับตนเองว่า สัตว์ทั้งหลายก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่เกิดมาก็ต้องมีความตายเป็นที่ไปเช่นกัน  จะต่างกันก็เพียงแค่วิธีการตายเท่านั้น

เมื่อพระภิกษุหนุ่มเดินเข้าไปถึงบริเวณใกล้ริมชายน้ำ ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น  เพราะมันคืองูยักษ์ตัวใหญ่ยาว ใหญ่ประมาณเท่ากับต้นเสาบ้านหน้าสามสิบ กำลังวิดน้ำเล่นอยู่โดยใช้ส่วนหัวเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ แต่ใช้ส่วนหางวิดน้ำ นี่มันคืออะไรกันแน่  พระภิกษุหนุ่มจึงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของงูยักษ์สักพัก จึงเห็นอย่างชัดเจนว่า ขณะงูใช้ส่วนหางวิดน้ำบางครั้งก็โฉบลงมากินปลาด้วย ซึ่งพระภิกษุหนุ่มก็เพียงแต่เคยได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นไม่เคยพบมาก่อนเลย พอได้เห็นกับตาตัวเองถึงกับตะลึง ว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟังนั้นเป็นความจริงทุกประการ เกี่ยวกับงูใหญ่ลงหากินปลาและหากินด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนกับคน แต่ก็สู้คนไม่ได้ คนนั้นมีวิธีหากินหลากหลายมากกว่าที่สัตว์อื่น ๆ จะสามารถเอาตัวรอดได้  นั้นคือความสามารถของงูและการหาอาหารของงูที่อยู่ในป่า มีทั้งวิธีการดักซุ้มโจมตีอย่างรวดเร็ว วิธีทำเป็นห่วงดัก วิธีรัดให้อาหารหรือศัตรูหมดแรงต่อสู้ พระภิกษุจึงได้แต่แผ่เมตตาอย่างเดียวแล้วค่อย ๆ เดินจากมาอย่างเงียบ ๆ

การออกธุดงค์เพื่อปฎิบัติธรรมในพื้นที่ป่าเขาลำเนาไพร พระภิกษุหนุ่มต้องเสาะแสวงหาที่สัปปายะ ไม่ติดอยู่กับที่ใด ๆ เพราะเป็นการธุดงค์ที่จำเป็นจะต้องฝึกจิตไม่ให้ติดสุข นั้นเองจึงเรียกว่า ธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส ขัดเกลาจิตใจของตัวเองไม่ให้ยึดติดสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น

การเดินธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพร จากภูเขาลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะไม่ใช่การเดินบนถนน หรือทางที่มีคนมาทำไว้ ยกตัวอย่าง…จากภูลังกา บึงโขลงหลง ไปยัง ภูทอกใหญ่ อันมีป่าไม้หนาทึบมีสัตว์ป่าอันตรายมากมายหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าเหล่านั้น   ยากเหลือเกินกว่าคาดเดาว่าจะพบเจอสิ่งใดบ้าง  สิ่งที่มองเห็นหรือสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้ว่าสิ่งใดจะน่ากลัวหรืออันตรายกว่ากัน และมันก็มีความมหัศจรรย์อยู่บนภูทอกหลายประการ ยิ่งในยามรัตติกาล ความสงบ ความหนาวเย็นยะเยือก ความโหดร้าย ความน่าสะพรึงกลัว ความมืดหรือแสงสว่าง แอบซ่อนตัวแฝงอยู่ในป่าเหล่านี้ครบทุกประการ   ยากนักแก่การคาดเดา มีเพียงตัวและจิตของพระธุดงค์เท่านั้น ที่พอจะคาดเดา หรือทำให้มันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงได้ไปตามสิ่งแวดล้อม แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ส่วนความปลอดภัยคงไม่ต้องถามถึง…