Kamalas

เรื่องเล่าพระป่า

ตอน สิ่งมีชีวิตที่ไร้ร่องรอย

เรียบเรียงโดย กัณหาชาลี

ย่ำค่ำ ณ ภูลังกา คือเวลาที่พระอาทิตย์หมดหน้าที่ของตน มันค่อย ๆ ลดระดับต่ำลงมาระยอดไม้แล้วค่อย ๆ ลับหายไป ปล่อยให้ความความมืดมิดทำหน้าที่แทนอย่างมีเลศนัย  ความน่าสะพรึงกลัวของป่าบนภูลังกา อันเป็นเทือกเขาใหญ่มีต้นไม้หนาแน่น หลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเต็มไปหมดอย่างอุดมสมบูรณ์  ตลอดทั้งสัตว์ป่าดุร้ายมากมาย เกินจะคาดเดาว่า คืนนี้จะมีสิ่งใดมาสำแดงเดชให้พรั่นพรึงกันอีกบ้าง

 

จากคำล่ำลือสืบทอดกันมายาวนานว่า ป่าแห่งนี้เป็นป่ามหัศจรรย์ มีสิ่งลี้ลับมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ อะไรที่ไม่คิดว่าจะมี ก็มี ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิด เกินจะคาดเดา  ในบรรดาหมู่พระธุดงค์เอง ต่างก็กล่าวขานร่ำลือกันมาถึงความลี้ลับของภูลังกานี้   ถ้าใครไม่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริง ๆ หรือยังรักตัวกลัวตาย ก็คงไม่สามารถมาเดินจงกรมเพียงลำพังในป่านี้ เหมือนกับพระหนุ่มรูปนี้ได้  ซึ่งในคืนเดือนมืด และเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ความเย็นยะเยือกของป่า ประกอบกับมีลมพัดเบา ๆ  ก็ถือว่าเป็นสถานที่อันสัปปายะมิใช่น้อย  พระหนุ่มคิดเช่นนั้น

 

เมื่อเดินจงกรมเป็นเวลาพอประมาณแล้ว พระหนุ่มก็กำลังจะเข้าไปนั่งสมาธิในกลด พลันได้ยินเสียงเหมือนคนโยนก้อนหินตกจากที่สูงลงสู่พื้นดินและดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่พระภิกษุหนุ่มก็มิได้ตกใจ หรือหวาดกลัวอันใด เมื่อจิตอยู่เหนือความกลัวแล้วท่านจึงนั่งภาวนาต่อไปในกลด  ทันใดนั้นเอง เหมือนมีลมพัดอย่างแรงพัดมากระแทกกลด จนทำให้กลดแกว่งโยกไปมา  ครั้นพระหนุ่มมองออกไปด้านนอก   ท่านก็เห็นช้างตัวใหญ่มหึมา ยืนตระหง่านอยู่ข้างหน้า มันทำท่าเหมือนโกรธจัดทั้งเท้ากระทืบทั้งเหวี่ยงงวงไปมาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนพระหนุ่มไปทำอะไรให้มันไม่พอใจมาก่อนกระนั้น ช้างตัวนี้แผดร้องเสียงดังลั่นป่า ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจยิ่งนัก ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะรีบเผ่นเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แต่กับพระภิกษุหนุ่มรูปนี้ ท่านกลับก็นั่งเจริญเมตตาภาวนาให้เจ้าป่าเจ้าเขา และให้ช้างอย่างมีสติ  ซึ่งตามธรรมชาติของช้างนั้น มันจะไม่เดินขึ้นมาบนยอดเขาในยามค่ำคืน หรือมันต้องการมาประกาศศักดา ขับไล่พระแปลกหน้าให้ออกไปจากป่าของมัน แต่พระภิกษุหนุ่มก็ยังคงนั่งแผ่เมตตาต่อไป

เวลาผ่านไปไม่นาน จากช้างหนึ่งตัว ก็เพิ่มเป็นสองตัว สามตัว สี่ตัว …จนนับสิบตัว ยืนล้อมกลดพระภิกษุหนุ่ม และกำลังเดินมุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง หวังจะเหยียบพระแปลกหน้าให้แหลกคาเท้า แต่พระภิกษุหนุ่มก็นั่งแผ่เมตตาตลอด มิได้แสดงอาการหวาดกลัวแต่อย่างใด  ช้างเหล่านั้นก็ค่อย  ๆ ขยับเข้ามาใกล้กลดมากขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้จนงวงสามารถเอื้อมมาดึงกลดทิ้งได้เลย ฝูงช้างทั้งร้องทั้งกระทืบเท้าเสียงดังสนั่นกัมปนาทไปทั้งป่า  ดังจนหูของพระธุดงค์แปลกหน้ารูปนี้แทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ท่านก็หาได้ลุกหนีไปไหน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในกลดนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน  เวลาผ่านไปประมาณสามชั่วโมง เสียงฝูงช้างก็สงบลง พวกมันยอมแพ้ เดินกลับหลังหายเข้าไปในป่าทีละตัวสองตัว จนไม่เหลือสักตัว  ส่วนพระหนุ่มใจเด็ด ก็ยังนั่งนิ่งอยู่ในกลด ไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ จนดูเหมือนว่าท่านไม่ได้หายใจ

เมื่อช้างจอมโกรธจากไปได้ไม่นาน บททดสอบทางธรรมชาติก็ลองดีกับพระหนุ่มอีกครั้ง จู่ ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาม น้ำไหลนองเป็นทางไปทั้งป่า และไหลมาทางกลดของพระหนุ่ม ทันใดนั้นเองก็มีงูใหญ่ตัวหนึ่งมานอนขวางอยู่หน้ากลด  ซึ่งพระหนุ่มมิได้ทันสังเกตุว่างูตัวนี้มาตั้งแต่เมื่อไร  มันมานอนขวางทางน้ำไหลไม่ให้เข้ามากระแทกถูกกลดแรง ๆ ประหนึ่งว่ามาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ เมื่องูยักษ์มาดี พระหนุ่มก็มิได้ว่ากระไร ยังคงตั้งหน้าตั้งตานั่งสมาธิต่อไป

 

เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ได้กลับมาทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง ขับไล่ความมืดให้จางหายไป สาดส่องแสงแห่งความอบอุ่นในยามเช้าให้แก่สรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล   คืนอันแสนทรหดที่ภูลังกาได้ผ่านไปแล้ว บททดสอบอันโหดร้ายของพระหนุ่มก็ได้จบลงแล้ว  เมื่อพระหนุ่มลืมตาขึ้นมากลับพบว่า สภาพทุกอย่างดูเป็นปกติ สงบเงียบราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  คงเหลือแต่สภาพป่าเหมือนเดิม  น้ำป่า ทางน้ำไหลก็ไม่เห็นมีสักนิด  พระภิกษุหนุ่มจึงเกิดความสงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร   ท่านจึงเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ ก็ไม่พบร่องรอยสิ่งใดเลย  เมื่อคืนนี้ฝูงช้างกระทืบดินกันลั่นป่า ฝนตกก็ตกหนักมาก น้ำฝนไหลบ่าอย่างแรงเป็นทาง  แต่เช้านี้กลับไม่มีร่องรอยใด ๆ หลงเหลืออยู่ ให้เห็นเลย เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก งูใหญ่ใจดีก็ไม่เห็นมี  พระภิกษุหนุ่มจึงถามตัวเองว่า เราตายแล้วหรือเปล่า?  แต่คำตอบก็ไม่ใช่… แล้วที่ใช่คืออะไร? ทำไมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับไม่มีแม้แต่ร่องรอยให้เห็น ผืนป่าก็ไม่มีร่องรอยของช้าง งูหรือแม้แต่ฝน  สิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ ยิ่งทำให้อยากพระหนุ่มอยากพิสูจน์ความจริงมากขึ้น เพราะปกติท่านจะไม่เชื่อในสิ่งใดง่าย ๆ แต่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นและพิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น ท่านจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเพื่อพิสูจน์ความจริง ว่าสิ่งที่ตนประสบพบเจอเมื่อคืนนั้นเป็นมายา อุปทานตาลายไปเองหรือไม่  หรือจะเป็นฤทธิ์อำนาจเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขับไล่คนอื่นให้กลับไป หรือเกิดขึ้นเพราะไสยศาสตร์ทางธรรมชาติ  มันคืออะไรกันแน่

พระภิกษุหนุ่มสลัดความสงสัยต่าง ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น แล้วหันหน้ามาตั้งใจปฏิบัติตามปกติและมากขึ้นกว่าเดิม คือทั้งวันทั้งคืนโดยไม่จำวัด  ในคืนที่สองนี้กลับไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นโดยปกติ  จนล่วงเข้ามาในคืนที่สาม ขณะที่พระภิกษุหนุ่มกำลังปฏิบัติธรรมเดินจงกรมอยู่นั้น ท่ามกลางความมืดมิดของป่าอันลึกลับ  ก็มีผู้เฒ่าผมขาวโพลนอายุประมาณ ๘๐-๙๐ ปี เดินเข้ามาใกล้ ๆ มองดูพระภิกษุหนุ่มเดินจงกรม  ผู้ฒ่าเดินมาหยุดตรงทางเดินจงกรม แล้วถามขึ้นว่า “พระคุณเจ้าเดินทำอะไร”

พระภิกษุหนุ่มตอบว่า “เดินจงกรม”

เฒ่าชรา ก็ถามขึ้นอีกว่า “จงกรม คืออะไร”

พระภิกษุหนุ่มตอบว่า “เป็นการปรับอารมณ์บริหารอินทรีย์ บริหารขันธ์”

เฒ่าชราทำสีหน้าสงสัยแล้วถามต่อ “อารมณ์คืออะไร บริหารคืออะไร อินทรีย์คืออะไร ขันธ์คืออะไร ทำไมต้องทำ? ”

พระภิกษุหนุ่มได้โอกาสอธิบายจึงตอบกลับไปว่า “อารมณ์ คือ ความพอใจและไม่พอใจ เกิดขึ้นที่ใจ เพราะเกี่ยวเนื่องจากกายด้วย เช่น การนั่งนาน ๆ สมาธิยังไม่ดีพอ จึงทำให้ปวดขาปวดหลัง ก็ต้องปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ถ้าฝืนนั่งต่อไปใจไม่เป็นสมาธิ ก็จะทำให้จิตใจฟุ่งซ่าน ปัญญาก็ไม่เกิด เรียกว่า ทำให้เกิดอารมณ์ ส่วนขันธ์ คือ ขันธ์ห้า มี รูปและนามขันธ์ ที่เป็นทุกข์เพราะปัญญายังไม่เกิด จึงทำให้เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีปัญญารู้ทันเห็นทันกับสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นทุกข์ จิตก็สงบสมาธิขั้นสูงก็จะเกิดขึ้น และสามารถเห็นการเกิดการดับของอารมณ์ที่เป็นนามได้ เห็นอารมณ์ที่เกิดจากรูปได้ เห็นการดับได้ทัน ปัญญาก็มากขึ้นเห็นอย่างลึกซึ้ง นั่นแหละเรียกว่า เห็นเท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเกิดจากการบริหารอารมณ์ บริการขันธ์ และบริหารรูปนามขันธ์ห้านั่นเอง”

ผู้เฒ่าตอบกลับมาว่า “ผมไม่เคยได้ยินพระคุณเจ้ารูปไหนพูดอย่างนี้เลย ทั้งแก่ทั้งหนุ่มที่เคยพบมา มีพระคุณเจ้านี้แหละที่พูดเป็นเหตุเป็นผลให้โยมเข้าใจ แต่ผมอยากฟังอีก ท่านจะรับนิมนต์ไหม”

“อาตมาไม่รับนิมนต์ แต่ถ้าโยมมาอาตมาก็ยินดี” พระภิกษุหนุ่มตอบ

ผู้เฒ่าฟังแล้วก็ยินดี “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนท่านละ ถ้ามีเวลาผมจะมาสนทนาใหม่”

ชายเฒ่าผู้มากับความมืด ก็เดินหายไปกับความมืดของป่าเบื้องหน้านั้น ดึกสงัดในป่าเยี่ยงนี้ ชายชราผู้นี้มาทำอะไร แล้วเข้ามาหาพระหนุ่มเพื่ออะไร  ตอนนี้ยังไม่อาจเจอคำตอบได้  ดังนั้นพระภิกษุหนุ่มจึงเดินจงกรมต่อไป จนสมควรแก่เวลา แล้วก็เข้าไปนั่งสมาธิในกลดต่ออย่างสงบนิ่ง จนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน สิ่งไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง ครานี้พระภิกษุหนุ่มถึงกับตกตะลึงเลยทีเดียว…

 

โปรดติดตามตอนต่อไปว่า พระภิกษุหนุ่มพบเจอสิ่งไหนในค่ำคืนอันเงียบสงัดเช่นนี้…